หมึกบลูริง หมึกพิษ ฤทธิ์ถึงตาย อันตรายที่แฝงมาในอาหารโอชะ โปลดสังเกตก่อนรับประทาน
เราจะเห็นข่าวเสมอว่า ชาวบ้านคนนั้นคนนี้ ถูกหามส่งโรงพยาบาล เพราะกินอาหารมีพิษ เช่น กินปลาปักเป้า เห็ดพิษ ไปจนกระทั่งหมึกพิษ อย่าง หมึกบลูริง
จริงแล้วบางครั้งเราก็ไม่ทันรู้ตัวหรอกว่า ผัก หรือเนื้อสัตว์ที่นำมาปรุงให้กินนั้น มีประเภทมีพิษแฝงมาด้วยหรือเปล่า ฉะนั้นจึงต้องระมัดระวังเสมอ และสำหรับสายซีฟู้ด เรามีวิธีสังเกตเจ้า บลูริง หมึกพิษที่ว่ากันว่า มีพิษมากกว่างูเห่าถึง 20 เท่า ว่าเป็นอย่างไร
บลูริงคืออะไร
หมึกบลูริง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Blue-ringed octopus หรือ หมึกสายวงน้ำเงิน อยู่ในสายพพันธุ์หมึกยักษ์ แต่ตัวมันมีขนาดเล็ก คล้าย ๆ พวกหมึกสาย หลายครั้งคนนำมากินเพราะนึกว่าหมึกสาย แต่ข้อเด่นของมัน ก็ตามชื่อ คือมีวงสีน้ำเงิน ฉะนั้นหากเห็นว่าหมึกคล้าย ๆ หมึกสาย แต่มีวงสีน้ำเงิน หรือม่วงตามลำตัว ก็ให้พึงคิดไว้ก่อนเลยว่า มันคือบลูริง หมึกพิษ อย่ากิน
บลูริงนั้น สามารถพบได้ในทะเลไทยทั่วไป จึงไม่แปลกที่จะเผลอถูกจับนำมาขาย และคนซื้อไปรับประทานจนเกิดอันตราย เป็นข่าวอยู่เรื่อย ๆ
ว่าด้วยพิษของบลูริง
พิษของเจ้าบลูริง คล้าย ๆ กับของปลาปักเป้า มีชื่อเรียกว่า เตโตรโดท็อกซิน (Tetrodotoxin) หากกินเข้าไป จะทำให้อัมพาต ระบบหายใจล้มเหลว และอาจเสียชีวิตได้ ความร้ายกาจของพิษชนิดนี้ คือ ทนความร้อนได้ถึง 200 องศาเซลเซียส ฉะนั้นเอามาทำให้สุกอย่างไร ก็ไม่ทำอันตรายพิษได้
สำหรับความรุนแรงของพิษหมึกบลูริงนั้น เพียงแค่ 1 มิลลิกรัม ก็ถือเป็นอันตรายมากแล้ว โดยความรุนแรงนั้นสูงกว่าไซยาไนด์ 1,200 เท่า และมากกว่างูเห่า 20 เท่า
ใครที่กินหมึกชนิดนี้เข้าไป จะเริ่มรู้สึกชาที่ริมฝีปาก ลิ้น และจะลามไปที่ใบหน้า แขน ขา มีอาการคลื่นไส้ ตาพร่า มองไม่ชัด ประสาทสัมผัสต่าง ๆ จะเริ่มไม่ทำงาน พูดหรือกลืนน้ำลายไม่ได้ หากปล่อยไว้จะเข้าสู่เป็นอัมพาต และหยุดหายใจในที่สุด
ปัจจุบันยังไม่มียาแก้พิษจากบลูริง จึงรักษาตามอาการ และใช้เครื่องช่วยหายใจ หากใครกินหมึกแล้ว มีอาการเช่นนี้ อย่าชะล่าใจ รีบหายหมอโดยเร็ว
ทำอย่างไรเมื่อกินบลูริงเข้าไป
วิธีปญมพยาบาลขั้นแรก คือ ให้เป่าปาก เพื่อให้อากาศเข้าสู่ปลอด และรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
สรุป บลูริงเป็นหมึกอันตราย หากสังเกตเห็นว่าหมึกมีวงสีน้ำเงิน อย่ากิน อย่ายุ่ง เป็นสิ่งที่ดีที่สุด