เสรีภาพในการด่า / ก่อนจะสนุก ฉุกคิดสักนิด ตะรางรออยู่
ในยุคที่เสรีภาพแห่งการแสดงความคิดเห็นเบ่งบานราวดอกเห็ด ด้วยเทคโนโลยี และโซเชียลมีเดีย ทำให้ วิพากษ์วิจารณ์ และด่าทอ ทำได้อย่างง่ายดาย และโดยไม่ต้องรู้จักกันมาก่อน ขนาดไม่เคยเจอหน้ากันเลยก็ยังด่าได้ราวรู้จักมาแรมปี แม้คำวิจารณ์ กลั่นแกล้งทำง่าย แต่ในทางกลับกัน มันอาจย้อนมาทำร้ายตัวเราเอง วลี “คำพูดเป็นนาย” ยิ่งมีความสำคัญในยุคนี้ การแสดงความคิดที่สามารถย้อนเกล็ดตัวเอง อาจทำเสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย และอาจต้องสูญเสียอิสรภาพ หากความที่สื่ออกไปนั้น กลายเป็นสิ่งที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า ผิด! ฉะนั้นเรามาทำความเข้าใจ เสรีภาพในการด่า กันดีกว่า

ในทางกฎหมายอาญา ความผิดที่เกิดจากการแสดงออกซึ่งความคิด เป็นคำพูด ข้อความ หรือการแสดงข้อมูล ผู้เขียนจะขอแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มแรก เรียกว่า “ด่าทอ” คือ การด่าผู้อื่นด้วยถ้อยคำหยาบคาย หรือเหยียดหยามผู้อื่นซึ่งได้ทำต่อหน้าต่อตา เช่น ด่าว่า ไอ้เหี้ย …ไอ้สัตว์… เป็นต้น ผู้กระทำจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 “ผู้ใดดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้า หรือด้วยการโฆษณา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” ความผิดฐานนี้เรียกความผิดลหุโทษ ซึ่งถือเป็นความผิดเล็กๆ น้อยๆ แต่ระวังไว้ให้ดีนะครับ อย่าเที่ยวไปด่าหรือแสดงกริยาดูถูกดูแคลนตำรวจ หรือเจ้าพนักงาน หรือข้าราชการในเวลาที่เขาปฏิบัติหน้าที่ หรือเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ เพราะจะไม่ใช่ความผิดลหุโทษ แต่จะกลายเป็นความผิดฐาน “ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 แทน ซึ่งจะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาทแทน
ข้อสังเกต เกี่ยวกับความผิดข้อหาดูหมิ่นซึ่งหน้าตามมาตรา 393 นี้ คำในกฎหมายใช้คำว่า “ดูหมิ่นซึ่งหน้า” ฉะนั้น การด่ากันในโลกออนไลน์ แม้ผู้ถูกด่าจะรับทราบทันที แต่หากไม่ได้อยู่ต่อหน้าต่อตากันก็จะไม่เป็นความผิดฐานนี้

กลุ่มสอง เรียกว่า “ใส่ความ” เป็นเรื่องที่ต้องมีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง และไม่ใช่แค่การด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย แต่ต้องเป็นการลดทอนคุณค่าผู้ถูกด่าทอต่อบุคคลที่สาม ทำให้บุคคลที่สามเข้าใจว่าผู้ถูกด่าทอเป็นคนไม่ดี ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง จากบุคคลที่สาม เช่น กล่าวหาว่าเป็นเมียน้อย หรือหาว่าค้ายาเสพติด เป็นต้น ซึ่งการใส่ความนี้โทษจะหนักกว่าการด่าทออย่างกรณีแรก โดยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 บัญญัติว่า ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ หากเป็นการด่าทอกันโดยทางหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ หรือแม้แต่การใส่ความกันในสื่อออนไลน์ก็จะเป็นความผิดที่หนักขึ้นขึ้นไปอีก เพราะเป็นการหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท
นอกจากนี้ ยังมีผู้คนจำนวนมากที่มักเข้าใจผิดว่า การนำเอาเรื่องจริงมาพูดจะไม่เป็นความผิดหมิ่นประมาท ซึ่งในทางกฎหมายแล้ว แม้เอาเรื่องจริงมาพูด หากทำให้เขาเสียหายก็ผิดข้อหาหมิ่นประมาทได้

กลุ่มสาม การนำเข้าข้อมูลที่มีการบิดเบือน ข้อมูลปลอมหรือข้อมูลเท็จ หรือข้อมูลอันมีลักษณะลามกอนาจาร หรือข้อมูลที่เป็นภัยต่อความมั่นคง เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และรวมถึงผู้ที่เผยแพร่ต่อด้วยซึ่งความผิดในกลุ่มนี้ ไม่ใช่ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา แต่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ใครก็ตามที่คันปาก หรืออยากใช้เสรีภาพในการด่า ก็จงจำไว้ด้วยว่า หากไปชี้หน้าด่าอย่างเดียว จะผิดแค่ข้อหาดูหมิ่นซึ่งหน้า อันเป็นความผิดลหุโทษ จำคุกไม่เกิน 1 เดือน แต่ถ้าด่าให้บุคคลที่สามฟังด้วยโดยข้อความมีลักษณะเป็นการใส่ความ จะผิดหมิ่นประมาท จำคุกไม่เกิน 1 ปี ถ้าคันไม้คันมืออยากพิมพ์คำด่าอันเป็นข้อความหมิ่นประมาทลงสู่ออนไลน์หรือสื่อโซเชียล เช่น กูเกิ้ล ยูทูบ หรือเฟซบุ๊กที่เปิดเป็นสาธารณะ เป็นต้น ข้อหาจะหนักขึ้นอีก เป็นหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา จำคุกไม่เกิน 2 ปี และถ้ามีการตัดต่อภาพ ประกอบการใส่ความลงไปด้วยก็จะผิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี
เอวัง เสรีภาพในการด่า ก็มีปัจจัยด้วยประการฉะนี้
โดย : ทนายต้น (สุริยง คงกระพันธ์)
อ่านเรื่องอื่น ๆ
แบรนดอน รายัต เด็กหนุ่มที่ถูกกลั่นแกล้งจนต้องฆ่าตัวตาย เพราะหน้าตาดี
ศุกร์ที่ 3 ของเดือนมิถุนายน คือ วันหยุดการกลั่นแกล้ง บนโลกออนไลน์
ยินคำ กลั่นแกล้ง บ่อย ๆ ต้นไม้ยังไม่ทน