เพิกเฉยเท่ากับร่วม กลั่นแกล้ง

ประเด็นเพิกเฉยเท่ากับ กลั่นแกล้ง เรื่องมีอยู่ว่า อั้ม (นามสมมติ) หน้าตาสวยน่ารักมาตั้งแต่เด็ก เธออยู่กับพ่อแม่ ที่ไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกมากนัก และนิสัยเรียบร้อยไม่ค่อยพูด ไม่มั่นใจ ทำให้เธอไม่ค่อยมีเพื่อน เมื่อโตขึ้นย่างเข้าวัยรุ่นเธอก็มีรูปร่างหน้าตาสวยงามเหมือนดาราละครชื่อดัง แต่ชีวิตเธอเมื่อย่างเข้าวัยรุ่นกลับไม่สดสวยงดงามตามชื่อเธอ

 ในโรงเรียนเธอมีรุ่นพี่ผู้ชายมาจีบเธอหลายคน หลายคนนั้นเป็นนักกีฬาชื่อดังของโรงเรียน แทนที่เธอจะโดดเด่นและมีคนชื่นชม กลับตรงกันข้าม เพื่อนในห้องเธอตั้งกลุ่มรุมแกล้งเธอเพราะความสวย

ภาพจาก pixabay.com

 ตั้งแต่รุมแกล้งเธอด้วยการขีดเขียนบนโต๊ะ ในหนังสือของเธอ ไปจนถึงการส่งข้อความไปหารุ่นพี่ผู้ชายด้วยถ้อยคำลามกแล้วอ้างว่าเธอเป็นคนต้องการให้ส่ง มีการแอบถ่ายคลิปเธอทำธุระในห้องน้ำแล้วส่งให้รุ่นพี่ผู้ชาย ตามด้วยถ้อยคำขอร่วมหลับนอน

 ทั้งหมดทำให้เธอเสียหาย เธอบอกเรื่องนี้กับครูประจำชั้น ครูแก้ปัญหาด้วยการเรียกคู่กรณีมาคุย ให้ขอโทษ และลงโทษโดยการหักคะแนนจิตพิสัย กลุ่มเพื่อนที่รังแกจ้องมองเธอด้วยสายตาอาฆาต และขู่เธอว่าต่อจากนี้ชีวิตไม่มีความสุขแน่ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง

หลังจากนั้นเธอถูกรุมกลั่นแกล้งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เข็มหมุดถูกนำมาวางบนเก้าอี้เรียน ขยะเน่าเหม็นอยู่ในลิ้นชัก เพื่อนบางคนเดินผ่านก็แกล้งทำน้ำอัดลมหกใส่ อาหารที่เธอรับประทานก็ถูกเพื่อนแกล้งนำจิ้งจก แมงสาบปลอมมาโยนใส่

เมื่อเห็นเธอกรีดร้อง ตกใจกลัว ร้องไห้ กลุ่มที่รุมรังแกต่างก็พากันหัวเราะชอบใจ ในขณะที่คนรอบข้าง ได้แต่ชำเลืองมอง หรือมองมาจากที่ไหน ๆ บางคนเห็นแล้วก็เบือนหน้าหนี บ้างก็สะกิดกันแล้วก็เดินหลบเลี่ยงไป ทำเหมือนกับว่าเหตุการณ์รังแกกันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นตรงนั้น

 แม้เป็นคนหน้าตาสวย แต่เนื่องจากนิสัยเรียบร้อย ไม่ค่อยมั่นใจ เธอกลัวว่าหากบอกใคร เรื่องราวจะแย่ลงเหมือนเมื่อตอนที่เธอฟ้องครูคราวที่แล้ว

Image by Daniel Sampaio Donate if you want (Paypal) from Pixabay

 การทำร้ายร่างกายและจิตใจอย่างร้ายแรงเกิดขึ้น เมื่อรุ่นพี่หญิงคนหนึ่ง เดินมาจูงแขนเธอไปที่ซอกตึกและตบหน้าเธออย่างแรงโดยมีรุ่นพี่อีกสองคนคอยช่วยกันถ่ายคลิป รุ่นพี่คนนั้นอ้างว่า อั้มไปอ่อยแฟนเธอทำให้เขาทะเลาะกับเธอจนต้องเลิกกัน บังคับให้ก้มกราบเท้าและสาบานว่าจะไม่ไปยุ่งกับแฟนของรุ่นพี่คนนั้นอีก

 อั้มกลัวการไปโรงเรียน ขาดสมาธิ จนบางวันหนีโรงเรียนกลับมานอนซุกตัวอยู่คนเดียวที่บ้าน ผลการเรียนเธอแย่ลงจนถูกพ่อแม่กล่าวโทษ เธอไม่เคยบอกพ่อแม่เรื่องเหล่านี้เลย แม่แทบไม่อยู่บ้าน เช่นเดียวกันกับพ่อกลับมาดึกดื่น แทบไม่เคยพูดคุยกับเธอเสียด้วยซ้ำ เธอมักอยู่กับหญิงลูกจ้างอายุมากในบ้านและวัน ๆ ก็เพียงรับใช้ดูแลเธอในเรื่องกิจวัตรประจำวัน สนใจแต่ดูละครและเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของเธอ

 เมื่ออั้มตัดสินใจกรีดข้อมือ และถูกนำส่งโรงพยาบาลทัน เมื่อนั้นพ่อกับแม่จึงทราบเรื่อง อั้มถูกให้ออกจากโรงเรียน พ่อแม่จึงหันมามองอั้มชั่วครู่ แวบนั้นเธอรู้สึกมีตัวตนขึ้นมาเป็นครั้งแรก พ่อแม่พาเธอเข้าพบจิตแพทย์และนักจิตวิทยาเพื่อเข้ารับการบำบัด

แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็หันกลับไปยุ่งกับงานแทบไม่มีเวลาให้ลูกเช่นเคย

 ความรู้สึกไร้ค่า ไร้ตัวตน โดดเดี่ยว นำมาซึ่งการฆ่าตัวตายครั้งที่สองด้วยการกินยา แต่ได้รับการช่วยเหลือทัน เป็นที่มาของการดูแลรักษาอั้มอย่างจริงจังมากขึ้น กระนั้น กระบวนการนี้ก็ดูเหมือนจะเกิดขึ้นช้าเกินไป เพราะอั้มไม่สามารถกลับไปเรียนในโรงเรียนแบบปกติได้อีก และกลายเป็นคนกลัวที่สาธารณะ กลัวสังคม ที่ที่เธอมักรู้สึกว่าถูกจับจ้องด้วยสายตามุ่งร้ายเสมอ

Image by Roman Kogomachenko from Pixabay

 ปัจจุบัน อั้มมีครอบครัวและมีลูกสาวที่น่ารักหนึ่งคน แต่เธอไม่เคยลืมเรื่องเหล่านี้เลย เธอพยายามให้เวลากับสามีและลูกสาวแต่บาดแผลที่ฝังลึกได้ทำลายตัวตนและความศรัทธาในเพื่อนร่วมโลก ชีวิตครอบครัวของเธอล้มเหลว และเธอก็เฝ้าแต่โทษตัวเองอยู่เสมอ

 เรื่องราวโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับอั้มนี้ มีประเด็นที่น่าสนใจอยู่อย่างหนึ่งคือ เหตุการณ์ที่เธอถูกรังแกนั้น เด็กนักเรียนทั้งโรงเรียนรู้เรื่องนี้ และหลายคนเห็นเหตุการณ์ต่อหน้า แต่ไม่มีใครสักคนที่กล้ายื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ หรือแม้แต่จะนำเรื่องนี้ไปบอกครู หรือพ่อแม่ของอั้ม

 อั้มเล่าว่า สิ่งที่โหดร้ายยิ่งกว่าการถูกรังแก คือการที่ไม่มีใครพยายามเข้าข้างหรือยื่นมือเข้ามาช่วยเธอเลยสักคน ขณะที่เธอถูกรังแก สายตาที่มองมาจากที่ไกล ๆ ล้วนว่างเปล่า ไม่มีความเห็นใจ เมตตา เหมือนพวกเขากำลังเฝ้ามองการแสดงสาธารณะอะไรสักอย่าง ที่ห่างไกล ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตของพวกเขาเลย และนั่นยิ่งทำให้อั้มเหมือนถูกตอกย้ำความรู้สึกไร้ค่าไร้ตัวตนที่รู้สึกมาตลอดให้ยิ่งชัดเจนมากขึ้นไปอีก เธอเล่าว่า ในบรรดาการกลั่นแกล้งที่เธอถูกกระทำมาตลอด มีหลายครั้งที่เธอพยายามจะต่อต้าน แสดงความไม่พอใจ หรือลุกขึ้นสู้ แต่กลับไม่มีใครแสดงตัวอยู่ข้างเธอเลยสักคน  จะเห็นได้ว่า การเพิกเฉยเมื่อเห็นการ กลั่นแกล้ง จึงเท่ากับมีส่วนร่วมในการกลั่นแกล้งรังแกไปด้วย เพราะสามารถสร้างรอยแผลและความเจ็บปวดได้ไม่แพ้กัน ดังนั้น พบเห็นการกลั่นแกล้ง เพื่อนหรือคนรอบข้างควรแสดงออกว่าไม่เห็นด้วยต่อการกลั่นแกล้งนั้น และแม้จะเข้าไปช่วยเหลือเองตรง ๆไม่ได้ ก็ควรแจ้งครูหรือผู้ใหญ่ที่สามารถจะยุติเหตุการณ์ได้โดยที่ตัวเองไม่ต้องเสี่ยงต่อความเดือดร้อนที่จะเกิดขึ้น

โดย นทธี ศศิวิมล


อ่านเรื่องอื่น ๆ

หน้าแรก

เฟซบุ๊กแฟนเพจกลั่นแกล้ง

ศุกร์ที่ 3 ของเดือนมิถุนายน คือ วันหยุดการกลั่นแกล้ง บนโลกออนไลน์

แบรนดอน รายัต เด็กหนุ่มที่ถูกกลั่นแกล้งจนต้องฆ่าตัวตาย เพราะหน้าตาดี

แบรนดอน รายัต เด็กหนุ่มที่ถูกกลั่นแกล้งจนต้องฆ่าตัวตาย เพราะหน้าตาดี

You may also like...