กลั่นแกล้ง ด้วยการทำให้หายไป
หากถามว่า การ กลั่นแกล้ง ในโรงเรียนรูปแบบไหนที่คุณคิดว่าโหดร้ายที่สุด คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงการทำร้ายร่างกาย ทำร้ายจิตใจด้วยวาจา หรือทำให้เสื่อมเสีย อับอาย
แต่เชื่อหรือไม่ว่า จากการรวบรวมข้อมูลจากผู้ที่มีประสบการณ์ถูกรังแกในโรงเรียนมาก่อน พูดถึงการกลั่นแกล้งรูปแบบหนึ่ง ที่ร้ายแรงต่อจิตใจเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่ค่อยมีใครนึกถึงและอาจจะจินตนาการไม่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่เคยมีประสบการณ์ถูกกลั่นแกล้งด้วยวิธีนั้นมาก่อน นั่นคือ “การทำเหมือนใครคนหนึ่งไม่มีตัวตน”
พล (นามสมมติ) เป็นคนหนึ่งที่ประสบปัญหานั้น เขาเคยคิดว่าตัวเองโชคดี ที่สามารถสอบเข้าโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดได้ จากเด็กที่อยู่อำเภอรอบนอก โรงเรียนเล็ก ๆ ต้องเข้ามาอาศัยญาติอยู่ในตัวจังหวัด เขาต้องปรับตัวรอบด้าน
การที่เขามาอาศัยอยู่กับลุง ที่เปิดร้านขายผัดไทยช่วงเย็นถึงเที่ยงคืน ทำให้พลที่เป็นเด็กนิสัยดี มีน้ำใจ และอยากช่วยเหลือ ต้องมาช่วยลุงทำงานที่ร้านผัดไทยจนดึกดื่นทุกคืน โดยเอาธุระของตัวเองไว้ทีหลังเสมอ แรก ๆเขามีปัญหาไม่มีเวลาทำการบ้านอ่านหนังสือ ก็แก้ไขด้วยตนเองโดยทำการบ้านที่โรงเรียนให้เสร็จ ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ทำให้ไม่ค่อยได้มีเวลาปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ การที่เขาเป็นคนไม่มั่นใจ พูดน้อย ก็มีเพื่อนน้อยอยู่แล้ว
ประกอบเข้ากับฐานะที่ยากจน เสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ของเขาล้วนเก่า ซอมซ่อ สีหม่นกระดำกระด่างแม้พยายามจะซักให้สะอาด แต่ก็แทบไม่เคยได้รีด จักรยานที่ใช้ปั่นมาโรงเรียนและกระเป๋านักเรียนก็ใช้มาตั้งแต่ประถม รองเท้าผ้าใบขาดหัวแม่เท้าโผล่ แต่พลก็ไม่เคยคิดมาก
จนกระทั่ง เขาเริ่มมาสังเกตว่า เวลาที่เขาพยายามจะพูดคุยกับเพื่อนคนไหน เพื่อนคนนั้นก็พยายามเดินหนี หลีกเลี่ยง หรือทำเป็นไม่ได้ยิน เขามักเห็นหลายคนจ้องมองและกระซิบกระซาบจากที่ไกล ๆ เวลาที่ครูให้จับกลุ่มเพื่อทำงานกลุ่มหรือทำรายงาน ไม่เคยมีใครมองมาที่เขาเลย เขาจะได้กลุ่มก็ต่อเมื่อ มีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งคนไม่พอ และยอมรับเขาเข้ากลุ่มอย่างเสียไม่ได้ ทั้งที่เขาก็ทำหน้าที่ของตัวเองในงานกลุ่มอย่างเต็มที่ในทุก ๆ ครั้ง
ฐานะครอบครัวของพล ลำบากและยากจน บางวันที่ช่วยงานร้านจนดึกดื่นและต้องลุกตามลุงไปเตรียมของขาย ทำให้เขาไม่ได้มาโรงเรียน ในวันแบบนั้น หากโชคร้าย ครูสั่งงานกลุ่ม พลก็จะมาโรงเรียนในวันถัดไป และพบว่า เขาเป็นคนเดียวในห้องที่ไม่มีใครเอาชื่อเข้ากลุ่ม และต้องทำรายงานทั้งเล่มคนเดียว
บางครั้งช่วงพักกลางวัน พลไม่มีเงินไปซื้ออาหารกิน เขาก็ใช้วิธีไปกินน้ำจากตู้น้ำจนเต็มท้อง แล้วก็รีบเข้าห้องสมุดไปทำการบ้าน อ่านหนังสือ เวลาที่เขาจมอยู่ในโลกหนังสือ มักเพลินจนลืมโลกภายนอก เวลาเพื่อนหรือครูมาเรียก ต้องเรียกอยู่หลายครั้งพลถึงจะได้ยิน เรื่องนี้ก็ถูกเอาไปล้อเลียนอยู่เสมอ
ถึงจะเงียบไม่เคยทะเลาะกับใคร แต่พลก็เก็บกดและคิดมากในเรื่องความสัมพันธ์ หลายครั้งที่เขาพยายามร่วมวงสนทนากับเพื่อน มีครั้งหนึ่งเพื่อนคนหนึ่ง ที่มีฐานะดีและป็อบปูล่าในหมู่เพื่อน ๆ เสนอว่า จะยกกระเป๋า รองเท้า ยี่ห้อดี ๆ ที่ไม่ได้ใช้ให้พล เพราะที่บ้านมีเยอะ พลรู้สึกสะดุด และเริ่มนึกออกว่าทำไมเพื่อน ๆ ถึงไม่ค่อยอยากเข้าใกล้เขา วันนั้นเขาตอบไปว่า เขาไม่ต้องการความช่วยเหลือ เพราะของที่ใช้อยู่ก็ยังใช้ได้ ไม่จำเป้นต้องใช้ของใหม่ราคาแพง ๆ เพราะรู้สึกว่ามันฟุ่มเฟือยโดยไม่จำเป็น
โชคร้ายที่เพื่อนคนนั้นมองว่าเป็นการดูถูก และในเมื่อโรงเรียนมัธยม การได้รับการยอมรับในหมู่เพื่อนเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เมื่อใครสักคนต้องเลือกระหว่างเพื่อนที่ป็อบในหมู่นักเรียน กับคนที่ไม่มีใครอย่างพล ร้อยทั้งร้อยก็เลือกอีกฝั่ง และทิ้งให้พลอยู่อย่างโดดเดี่ยวตั้งแต่นั้น
ทุกคนหลีกเลี่ยงพล เขานั่งที่โต๊ะเดี่ยวหลังห้อง ไม่มีใครยอมนั่งด้วย แม้แต่รองเท้าที่วางเรียงหน้าห้อง ก็มีวงรัศมีรอบรองเท้าของพล ไม่มีใครกล้าวางใกล้ ไม่มีใครพูดกับพลอีก เดินหนี หลีกเลี่ยง ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนอยู่ในห้องเรียน และแม้บางคนจะรู้สึกเห็นใจ สงสาร แต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้พล เพราะกลัวจะถูกสังคมกีดกันออกจากพวกไปด้วย
แม้เมื่อผ่านเวลานั้นมาแล้ว พลเติบโตขึ้น แต่เรื่องราวความทรมานของชีวิตนักเรียนก็ยังเป็นบาดแผลที่ทำให้เขาเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึง
ในช่วงวัยเด็กโตและวัยรุ่นนั้น เป็นช่วงที่สังคมโรงเรียน และความสัมพันธ์ต่อเพื่อน ๆ สำคัญมาก สำหรับคนคนหนึ่งที่กำลังจะสร้างตัวตน สร้างความมั่นใจ ปรับตัวให้เข้ากับเงื่อนไขของสังคมแวดล้อมให้ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพ่อแม่เช่นที่ผ่านมา เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นผู้ใหญ่ในอีกไม่นาน บางคนก็ทำได้ดี บางคนก็ทำได้ไม่ดีนัก
คนที่เป็นคนมีบุคลิกดี มนุษย์สัมพันธ์ดี มีความมั่นใจ จิตใจมั่นคงมาก่อนแล้ว มักจะได้เปรียบในช่วงเวลาแบบนี้ แต่คนที่ไม่ค่อยมั่นใจ ไม่กล้าแสดงออก มักจะผ่านช่วงเวลาแบบนี้ไปได้ยากกว่า การถูกปฏิเสธตัวตนในช่วงวัยที่กำลังสร้างตัวตนจึงเป็นเรื่องโหดร้ายไม่แพ้การกลั่นแกล้งในรูปแบบอื่น แต่หากเรามั่นใจและเชื่อมั่นในศักยภาพของเรา ความเจ็บปวดตรงนี้อาจจะทำร้ายเราไม่ได้มากนัก ในขณะเดียวกัน หากพบเห็นเพื่อนที่ถูกกีดกันออกจากสังคม แทนที่เราจะกลัวไปด้วย เราควรมองว่าเป็นโอกาสที่เราจะได้ทำความรู้จักกับผู้คนที่หลากหลาย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองไว้ใช้ในอนาคต เมื่อเราต้องออกไปสู่สังคมจริงที่ย่อมมีผู้คนหลากหลายรูปแบบยิ่งกว่าในโรงเรียนเสียอีก กลั่นแกล้ง ไม่ใช่เรื่องสนุก
โดย นทธี ศศิวิมล
อ่านเรื่องอื่น ๆ
เสรีภาพในการด่า / ก่อนจะสนุก ฉุกคิดสักนิด ตะรางรออยู่
ทำอย่างไรเมื่อ ลูกชอบแกล้งเพื่อน
“หนูทำอะไรผิด” ถึงต้อง ปลอมเฟซบุ๊ก