ตามรอย บาเตาะ ตำนาน “มนุษย์กินคน” ที่แว้ง
พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังมีเรื่องราวมากมายที่เป็นนิทานปรัมปรา ตำนาน เรื่องเล่า หรืออาจเป็น “เรื่องจริง” ที่ผ่านกาลเวลาเนิ่นนานมาแล้ว แต่ไม่เคยผ่านพ้นยุคสมัยแห่งความทรงจำของผู้คน นอกจากเรื่องราวของ “ฮาลอ” หรือ “เสือสมิงมลายู” ที่ดักกินคนในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสหรือยะลา ยังมีอีกเรื่องเล่าเกี่ยวกับ “ บาเตาะ ” ตำนานมนุษย์กินคนแถวชายป่าฮาลา-บาลา ส่วนที่มีพื้นที่ติดที่ตั้งของ “ชุมชนบาลา” เขตเทศบาลตำบลบูเก๊ะตา อ.แว้ง จ.นราธิวาส ฝังแน่นใต้ความทรงจำของผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่า
รศ.ปัญญา เทพสิงห์ แห่งคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เคยเขียนเรื่อง “บาเตาะ : คนกินเนื้อคน เรื่องเล่าหรือความจริงในผืนป่าฮาลา บาลา จังหวัดนราธิวาส” ไว้ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ให้ข้อสังเกตถึงสิ่งที่สนับสนุนการมีอยู่ของ “บาเตาะ” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่คนในชุมชนนิยมเรียกคนเถื่อน คนอำมหิต ไร้จิตใจและศาสนาว่า “ออแฆบาเตาะ” การใช้คำว่าบาเตาะ ยังถูกนำมาขู่เด็กให้กลัว คนไทยพุทธเรียกว่า “เงาะหาง” อีกเหตุผลหนึ่ง มักมีการกล่าวตักเตือนให้ระมัดระวังตัวเสมอเมื่อต้องล่องเรือแพสัญจรตามแม่น้ำผ่านบริเวณริมฝั่งแม่น้ำสุไหงโก-ลก ใกล้ย่านอาศัยของบาเตาะ ซึ่งปัจจุบันชาวบ้านยังคงเรียกบริเวณนี้ว่า “ลูโบะบรีงะ”
นอกจากนี้ พิธีกรรมทางไสยศาสตร์ การร่ายมนต์คาถาใกล้ที่อาศัยของบาเตาะ หมอผีหรือจอมขมังเวทที่ปลุกเสกจะต้องเอ่ยบุญคุณและขอขมาบาเตาะเป็นอันดับแรก รวมถึงการพบหลักฐานทางเดินเป็นร่องคู ลึกประมาณต้นคอ แต่ไม่มีน้ำ มีลักษณะเป็นแนวยาวไปจนถึงที่อาศัยของบาเตาะ นอกจากนี้พบหลักฐานเป็นเนินดินและหินฝังอยู่ใต้ดิน ริมฝั่งแม่น้ำสุไหงโกลก บริเวณเขตป่าบาลา ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นที่อยู่อาศัย วัง และสุสาน ของเผ่าบาเตาะ
เรื่องราวเกี่ยวกับ “บาเตาะ : มนุษย์กินคน” วนเวียนอยู่ในความรู้สึกข้าพเจ้ามาเป็นเวลานาน…
กระทั่งวันหนึ่งจังหวะดีก็มาถึงจึงชวน พี่เกริ่น เขียนชื่น ครูญา ตากใบ และ และนัดพบ แบยี เพื่อนหนุ่มชาวแว้ง เพื่อไปตามรอยตำนานเรื่องนี้ โดยแบยีทำหน้าที่นัด “เปาะจิ” ผู้ชำนาญการและมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่มาก เราพบกันที่ร้านน้ำชาแห่งหนึ่งใกล้สะพานมิตรภาพไทย-มาเลเซีย หรือที่ชาวบ้านมักเรียกกันว่า “สะพานบ้านบูเก๊ะตา”
“เรื่องบาเตาะมนุษย์กินคนเปาะจิเคยได้ยินเรื่องนี้มากับหูจากเมาะห์” เปาะจิเจ้าถิ่นเกริ่นเรื่องโดยอ้างถึงผู้ใหญ่ที่เคารพเหมือนเชื้อเชิญพวกเราให้เริ่มก้าวเข้าสู่โลกลี้ลับ ก่อนพากันเดินทางจากร้านน้ำชาออกสู่ถนนใหญ่เล็กน้อย จากนั้นจึงเลี้ยวตามถนนสายเล็กๆ เลียบขนานกับแม่น้ำสุไหงโกลก รวมระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ผ่านสวนยางพาราของชาวบ้านกระทั่งสุดทาง
จากจุดนั้นคณะตามรอยมนุษย์กินคนต้องใช้วิธีเดินเท้าเข้าป่าอีกประมาณ 500 เมตร ลัดเลาะตามลำน้ำสุไหงโก-ลก ทอดสายตาฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเห็นหลังคาบ้านของเพื่อนบ้านฝั่งมาเลเซียเรียงรายอย่างเห็นได้ชัด พอย่างเข้าเขตบาเตาะ สภาพป่ายางเริ่มกลายเป็นพื้นที่แอ่งกระทะ ปราศจากต้นยางพาราแม้สักต้น
“ตรงนี้แหล่ะคือที่อยู่ของ บาเตาะ ” เปาะจิกล่าวย้ำคำที่เหมือนกังวานเข้าไปในหัวใจคณะเราให้เต้นแรงขึ้น ภายใต้บรรยากาศสุดวังเวงในร่มครึ้มชุ่มชื้นเย็นจิต ขณะชี้มือไปยังพื้นที่แห่งหนึ่ง
บริเวณนั้นมีลักษณะเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ด้านบนเหมือนมีต้นไม้บังตา แต่พอเหยียบย่ำลงไปพลันรู้สึกเหมือนแผ่นดินยวบตัวลงไป ทุกคนจึงเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ขณะนั้นเองเปาะจิคนนำทางก้าวอย่างระมัดระวัง เหยียบบนเนินดินลูกหนึ่ง พร้อมกับลองกระโดดขย่มเสียงดังกลวงก้อง ตึกๆๆๆๆๆ
“พวกนี้จะอาศัยอยู่กันใต้ดินซึ่งถูกขุดให้เป็นเหมือนถ้ำขนาดเล็ก ไม่รู้ว่าในนี้มีศพบาเตาะบ้างหรือไม่ แต่ที่เห็นเป็นเนินตุ่มๆ แต่ละจุด คือหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้เป็นบ้านของพวกเขาหมดเลย”
เปาะจิให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ผู้คนสมัยเก่าก่อนที่อาศัยละแวกนี้ห่างไปประมาณ 1-2 กิโลเมตร ต่างรู้ดีว่ามีบาเตาะหรือมนุษย์กินคนอาศัยอยู่ในโซนนี้ ตอนแรกก็ไม่ได้กลัวอะไรมาก ถือว่าต่างคนต่างอยู่ไม่รุกรานทำร้ายกัน
“ต่อมาผู้ใหญ่บ้านกลับเกิดความหวาดกลัว เพราะได้ไปฟังข่าวจากทางฝั่งมาเลย์ว่า หากพวกนี้ไม่พอใจใครก็จะใช้วิธีจับกินเป็นอาหาร ดังนั้นจึงพยายามหาทางเข้าไปพูดคุยด้วยเพื่อผลักดันให้ย้ายออกไป แต่พวกนี้ไม่ยอม”
ในที่สุด ชาวบ้านจึงออกอุบายจัดงานเลี้ยงครั้งใหญ่ แล้วจัดแจงนำมันมีพิษหรือ “หัวกลอย” มาต้มให้กิน เมื่อพวกบาเตาะกินแล้วเกิดอาการเมามายไม่รู้ตัว พากันกลับเข้าไปนอนในโพรงรังหรือเรือนนอนใต้ดิน ชาวบ้านจึงจัดการนำน้ำมันยางมาราดแล้วจุดไฟเผา ทำให้มีบาเตาะเสียชีวิตจำนวนมาก ส่วนที่เหลืออยู่บ้างต่างตะเกียกตะกายแหวกว่ายน้ำข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามแม่น้ำฝั่ง หนีลับหายไปกับความมืด
“ไปดูกันไหมว่าพวกนี้กินคนอย่างไร” นับเป็นคำเชิญชวนของเปาะจิที่เสมือนทำให้หัวใจของคณะพิสูจน์เรื่องมนุษย์กินคนเหมือนจะเย็นวาบขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากฟังเรื่องเล่าอันแสนหฤโหดในการกำจัดเผ่าพันธุ์มนุษย์กินคนที่แว้ง จากนั้นคณะตัดสินใจเดินเท้าอีกประมาณ 200 เมตร จึงเจอกอไผ่ขนาดใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำสุไหงโกลก
เปาะจิอธิบายว่า บาเตาะจะใช้เถาวัลย์ป่าขึงขวางแม่น้ำไว้เพื่อดักจับคนหรือสัตว์ที่อาศัยเส้นทางสัญจรผ่านแม่น้ำสายนี้ พร้อมกันนั้น ชี้มือไปยังพื้นที่อีกจุดหนึ่งแล้วเล่าความต่อเนื่อง “ตรงนั้นมีตาน้ำซึ่งจะมีน้ำไหลออกมาจากบริเวณลานกองหินอยู่ตลอดเวลา น้ำมีลักษณะขุ่นข้นสีขาวเป็นเมือกเหมือนดินโป่ง นี้แหล่ะคือน้ำที่บาเตาะใช้ดื่มกิน”
หลังจากนั้นต่างคนต่างยืนเงียบงันเหมือนตกอยู่ในภวังค์กับพื้นที่ในตำนาน แม้กระทั่งปัจจุบันนี้เป็นเรื่องยากยิ่งที่ชาวบ้านธรรมดาจะกล้าย่างกรายเข้ามายังพื้นที่แห่งนี้ เนื่องจากคำร่ำลือถึงเรื่องอาถรรพณ์และ “ผีดุ”
“พวกบาเตาะชอบดักจับคนทุบแล้วเชือดคอให้ตายก่อนเอามากิน แต่จะไม่กินเนื้อญาติตัวเอง ถ้ามีบาเตาะแก่ชราจะทดสอบให้ปีนต้นไม้ หากปีนไม่ไหว ญาติจะสะกิดบอกเพื่อนบาเตาะด้วยกันให้มาฆ่าไปกิน หรือแลกญาติแก่ชรากัน เพื่อนำมากินเป็นอาหารรสโอชา” แบยี ชาวแว้ง ให้ข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มเติม
ข้อมูลอีกแง่มุมหนึ่งเล่ากันมาว่า เมื่อมีผู้คนจากต่างถิ่นบุกรุกพื้นที่กันมากขึ้นและพยายามผูกมิตรด้วยดี แต่ถูกบาเตาะล่าไปกินเป็นอาหาร จึงวางแผนฆ่าล้างเผ่าพันธุ์บาเตาะ ช่วงนั้นมีเพียง “โต๊ะสุแก” เท่านั้นที่สื่อภาษากับบาเตาะได้ จึงออกอุบายให้โต๊ะสุแกไปแจ้งข่าวแก่พวกบาเตาะว่าจะมีฝรั่งมาซื้อครั่งให้ราคาสูงมาก (มาเลเซียเวลานั้นอยู่ใต้จักรภพอังกฤษ) บาเตาะแต่ละครอบครัวจึงต่างหาชันมากองไว้ที่ปากรูรังของตนเอง โต๊ะสุแกหลอกให้หามาจนมากพอที่เผาได้ทั้งหมดจึงให้หยุดหาและจัดงานเลี้ยงฉลอง โดยให้กินถั่วเขียวต้มกับกลอยดิบ
เมื่อบาเตาะกินกันจนเมามายไม่ได้สติ พรรคพวกโต๊ะสุแกก็ลากบาเตาะใส่ไว้ในรูรัง แล้วจุดไฟเผาครั่งที่ปากรูแต่ละรังจนเพลิงลุกไหม้เผาผลาญแทบหมดสิ้นเผ่าพันธุ์
ช่วงนี้เองที่แบยีเล่าเรื่องทิ้งท้ายแบบชวนขันทิ้งท้ายว่า ครั้งก่อนที่ตนเองและทีมงานเคยมาสัมผัสพื้นที่แห่งนี้และกำลังจะกลับ เปาะจิซึ่งเป็นคนนำทีมงานลงพื้นที่แอบมากระซิบว่า คืนที่เลี้ยงฉลอง หัวหน้าเผ่าที่ชื่อ “บาเตาะ ปูเต๊ะ” แอบหนีได้ก่อนเกิดการเผา โดยไปอาศัยอยู่กับผู้หญิงที่ท้ายหมู่บ้าน และมีลูกหลานสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
นั่นแสดงว่า ทุกวันนี้ยังคงมีลูกหลานของเผ่าพันธุ์มนุษย์กินคนหลงเหลืออยู่ในพื้นที่อีกอย่างแน่นอน
“ผมมองหน้าเปาะจิที่ทำสีหน้าจริงจังมาก ยิ้มเยาะแล้วหัวเราะเสียงดัง ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด เปาะจิรีบคว้าข้อมือผมแล้วเอาไปจับที่ก้นของแก ปรากฏว่ามีท่อนเนื้อไม่ยาวมากนัก ขนาดเท่านิ้ว โผล่ออกมาจากก้นของแก พร้อมกับหันขวับมาด้วยดวงตาแวววาวชวนพิศวง”
เรื่องเล่าของ “แบยี” จบลงเช่นนี้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามีเนื้อหาความจริง-เท็จ มากน้อยประการใด?
แต่อย่างน้อยเชื่อว่า สังคมทุกวันนี้ย่อมยังปรากฏเรื่องราวของ “มนุษย์กินคน” อยู่อีกเป็นจำนวนมาก ส่วนจะเป็นประเภทหรือเผ่าพันธุ์ไหนบ้าง ลองเหลียวมองรอบข้าง ทำความเข้าใจ ตามให้ทัน เพื่อจะได้ระวังตัวกันมากขึ้น
อ่านเรื่องอื่น ๆ
ชายแดนใต้ ในสายตาคนพื้นที่… เรื่องเล่า 3: นกเงือก ที่มักสับสนกับทูแคน ทั้ง ๆ ที่เป็นคนละประเภท
ชายแดนใต้ ในสายตาคนพื้นที่… เรื่องเล่า 2 น้ำกรด หาซื้อง่าย ที่บ้านเรา